สถิติผู้ชมเว็บไซต์







 

ศัลยกรรมเรือนร่าง (Body Sculpting Surgery)




 

ผู้หญิง นอกจากการมีใบหน้าที่สวยสดงดงาม และมีชีวิตชีวาแล้ว การมีรูปร่างที่ดีได้สัดส่วน ได้มาตรฐานของสะโพกที่ผาย และกลมกลึง การมีหน้าอกที่มีขนาดสมส่วน มีเอวโค้งคอดรับกับหน้าอกและสะโพก ต้นขากลมกลึงไม่มีไขมันสะสมมากเกินไป และมีแขนเรียวงาม จะเห็นว่าทุกๆ ส่วนของเรือนร่างไม่ว่าจะเป็น อก เอว สะโพก หรือต้นขา จะต้องได้สัดส่วนและสมดุลกันทั้งหมด ถ้าเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของรูปร่างเล็กเกินไปหรือใหญ่เกิน รูปทรงของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย  รูปร่างของผู้หญิงจะเกิดการสะสมของไขมันตามอก เอว สะโพก ก้น ต้นขา และ  หน้าท้อง ทำให้เกิดเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ 4 แบบ ดังนี้

 

1. I-Shape เป็นรูปทรงที่มีขนาดรอบอก  เอว  สะโพกไม่แตกต่างกันมาก มีไขมันกระจายที่หน้าท้อง สะโพก และอก ทำให้ดูเป็นแนวตั้ง
2. V-Shape เป็นรูปทรงที่มีไหล่กว้าง สะโพกแคบ ก้น และต้นขาเล็ก ช่วงหน้าอกหน้าท้องใหญ่กว่า สะโพก และต้นขา ไขมันจะสะสมอยู่ที่หน้าอก ไหล่ และใบหน้า
3. A-Shape เป็นรูปทรงที่มีหน้าอกเล็ก มีไขมันสะสมอยู่มากบริเวณสะโพก ก้น และต้นขา
4. X-Shape เป็นรูปทรงที่มีขนาดหน้าอก และสะโพกใกล้เคียงกัน และมีเอวเล็กกว่าสะโพกมากกว่า 9 นิ้ว

 

 

นอกจากนี้รูปร่างของผู้ชายแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

1. รูปร่างผอมแห้ง (Ectomorph) มีโครงกระดูกเล็ก มีลักษณะผอม เพรียว คอ แขน และขายาว แต่ลำตัวสั้น ช่วงไหล่แคบ สะโพกเล็ก มีไขมันและกล้ามเนื้อน้อย
2. รูปร่างอ้วนกลม (Mesomorph) มีโครงกระดูกใหญ่ มีลักษณะอ้วน ตัวกลมๆ คอ แขน และขาสั้น ลำตัวช่วงบน กลาง และล่างมีขนาดใหญ่เท่าๆ กัน มีไขมันเยอะ และมองไม่เห็นกล้ามเนื้อ
3. รูปร่างสมส่วน (Endomorph) มีโครงกระดูกใหญ่ ไหล่กว้าง ช่วงอกกว้างและหนา ลำตัวยาว ไขมัน ในร่างกายมีในระดับต่ำ สามารถมองเห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจน

 

 

การปรับแต่งรูปร่างให้สมส่วน (Body Sculpting Surgery)

          การปรับแต่งรูปร่างให้สวยงาม สมส่วน ตามสรีระโครงสร้างของเพศ  เนื่องจากโครงสร้างของกระดูก  กล้ามเนื้อ และฮอร์โมนของเพศหญิงหรือชายที่แตกต่างกัน  การทำศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างให้สวยงาม  และได้สัดส่วนของแต่ละเพศก็จะแตกต่างกันไป โดยพิจารณาตั้งแต่แขน ขา ช่วงอก เอว สะโพก ก้น ต้นขา และน่อง แต่จุดสำคัญที่สุดคือช่วงหน้าอก เอว และสะโพกที่ได้สัดส่วนตามโครงสร้างที่งดงาม

          โดยที่การปรับแต่งรูปร่างนี้ ต้องปรับไปพร้อมกันทีเดียวหลายๆ ส่วน จะไม่ปรับส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่างเช่น ต้องการรูปร่างที่งดงาม มีเอวคอด สะโพกที่กลมกลึง ไม่มีไขมันส่วนเกินที่แผ่นหลัง แขน ขา สามารถจัด ปั้น และปรับเปลี่ยนรูปร่างให้ได้ตามแบบที่ต้องการในเวลาเดียวกันได้

          โดยการทำ Body Sculpting Surgery หรือการปรับเปลี่ยนรูปร่าง สามารถทำได้โดยการดูดไขมันส่วนเกิน (Liposuction) บางส่วนออกไป และส่วนไหนที่มีน้อยเกินไปก็สามารถเอาไขมันมาเติมในส่วนที่ขาดได้ (Fat transfer)

 

 

 

 

ศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างของผู้หญิง 

         เป้าหมายหลักคือ การปรับรูปทรงให้มีขนาดของอก และสะโพกที่ใหญ่ เหมาะสมกับโครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อ  มีรอบเอวที่เล็กเป็นรูปทรงนาฬิกาทราย  และแต่งเติมความเซ็กซี่ในสรีระของผู้หญิงโดยเห็นเส้นกล้ามเนื้อที่หน้าท้องเล็กน้อย แสดงถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

 

 

ศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างของผู้หญิง ได้แก่
1. ศัลยกรรมหน้าอก : เสริมหน้าอก (Breasts Augmentation), ตัดหน้าอก (Breasts Reduction) 
2. ศัลยกรรมหน้าท้องเอว : ตัดไขมัน (Lipectomy) ดูดไขมันปรับแต่งหน้าท้อง (Abdominal Liposculpture) ทำเซ็กซี่ไลน์ (Sexy Line Liposculpture) 
3. ศัลยกรรม ก้น-สะโพก : เสริมสะโพก (Hips Augmentation) เสริมก้น (Buttocks Augmentation) ยกกระชับก้น (Buttocks lifting) 
4. ศัลยกรรมต้นขา : ดูดไขมัน ลดขนาดและยกกระชับต้นขา (Thighs Liposculpture) 


 

 

 

ศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างของผู้ชาย

          ผู้ชายจะมีฮอร์โมนแอนโดรเจน สูงกว่าเอสโตรเจนประมาณ 10 เท่า ทำให้มีขนที่หน้าอก แขน และขามากกว่าผู้หญิง มีคอใหญ่ มีกระเดือก และกล่องเสียง หน้าอกจะเป็นกล้ามเนื้อทั้งเหนือหน้าอกและตัวหน้าอก หัวนมจะเล็ก ช่วงอกจะเห็นกล้ามเป็นมัดๆ แผ่นหลัง และไหล่จะกว้างกว่าผู้หญิง อกผาย โดยกล้ามเนื้อที่อกจะหนาและแข็งแรง เป็นรูปตัว V ผู้ชายจะมีเอวต่ำ แบน และมีกล้ามเนื้อ ไขมันจะสะสมบริเวณหน้าท้อง และรอบเอว เชิงกรานจะเล็ก และแคบ ก้น และสะโพกจะแบน และแคบกว่าไหล่ แขน และขาจะมีกล้ามเนื้อ และเห็นเส้นกล้ามได้อย่างชัดเจน

          โดยการปรับแต่งรูปร่างชายจะเป็นการปรับแต่งกล้ามเนื้อไหล่ให้กว้าง และหนา สร้างความกว้างของไหล่ให้มากกว่าความกว้างของ เอว และสะโพก ทำหน้าอกให้ผาย ทำแผ่นหลังให้แบน และไม่มีไขมันที่สะสมอยู่ที่เอว และหน้าท้อง รวมถึงปรับรูปร่างให้เป็นตัว V Shape และมองเห็นเส้นกล้ามเนื้อที่หน้าอก หน้าท้อง หัวไหล่ และแผ่นหลังอย่างชัดเจน

 

ศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างของผู้ชาย ได้แก่

1. ศัลยกรรมหน้าท้อง (Abdominal Six pack) 
2. ผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกชาย (Pectoral Surgery)
3. ดูด- ตัดไขมันหน้าท้อง (Lipectomy, Liposuction)


 

ผ่าตัดไขมันหน้าท้องและยกกระชับหน้าอก (Abdominoplasty, Tummy tuck, Breast Lift)





 

คุณกำลังเผชิญปัญหาเหล่านี้อยู่หรือไม่ ?

 

มีบุตรหลายคนจนหน้าอกหย่อนคล้อยหน้าอกไม่เต่งตึงเหมือนสมัยสาวๆ ทั้งหมดนี้สามารถแก้ไขได้ง่ายๆเพียงแค่คุณเลือกใช้ “ยกกระชับหน้าอก”

แนะนำเกี่ยวกับ Breast Lift 

 

ผู้หญิงที่ผ่านการมีบุตรหลายคน มักพบว่าหน้าอกที่เคยเต่งตึงกลับเหี่ยวเล็กลงอย่างน่าใจหาย การผ่าตัดยกกระชับหน้าอกจะช่วยให้คุณกลับมามีทรวดทรงที่ดูดี โดยศัลยแพทย์จะผ่าตัดผิวหนังส่วนเกินบนและรอบทรวงอกซึ่งมีสาเหตุมาจากผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นจากการตั้งครรภ์หรือน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง การผ่าตัดกระชับหน้าอกสามารถทำควบคู่ไปกับการใส่วัสดุเสริมหน้าอก เพื่อให้ได้หน้าอกที่มีทรวดทรงสวยงามอีกครั้ง
*หน้าอกจะกระชับเต่งตึงได้นานขึ้น หากทำการผ่าตัดใส่วัสดุเสริมหน้าอกควบคู่ไปด้วย เนื่องจากวัสดุเสริมจะช่วยทำหน้าที่พยุงเนื้อหน้าอกที่ได้รับการปรับตำแหน่งใหม่


Breast Lift คืออะไร

 

คือการผ่าตัดยกกระชับหน้าอก (Breast Lift หรือ mastopexy) เป็นการศัลยกรรมหน้าอกเพื่อยกกระชับ และแก้ไขรูปทรงของหน้าอกของผู้หญิงที่มีปัญหา ดังนี้

  • การห้อย หย่อนคล้อย แต่ยังมีความสมส่วนกับรูปร่าง
  • ขาดความแน่นกระชับของผิวหนังและขาดความยืดหยุ่น
  • หน้าอกมีรูปร่างแบน และยืดยาว
  • เมื่อหน้าอกขาดการพยุงตัวทำให้หัวนมอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าฐานรอยพับของหัวนม
  • มีหัวนมและวงปานนมชี้ลงด้านล่าง
  • ผิวหนังยืดมีลาย และวงปานนมขยายวงใหญ่ขึ้น
  • เนินด้านบนของทรวงอกหายไป หรือดูไม่ได้สัดส่วน

 

การยกกระชับหน้าอกเหมาะกับใคร

  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าอกหย่อยคล้อย ไม่กระชับ
  • หัวนมหรือปานนมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าปกติ
  • เหมาะกับคุณแม่ที่มีปัญหาหน้าออกเสียทรงจากการให้นมบุตร
  • เหมาะกับผู้ที่ทำหน้าอกมาแล้วมีขนาดไม่เหมาะกับตัว จึงต้องการแก้ไข
  • บุคคลที่มีสุขภาพดี ไม่ป่วยด้วยโรครุนแรง หรือที่มีผลต่อการหายของแผล
  • ไม่สูบบุหรี่ 
  • บุคคลที่ตั้งใจอยากมีรูปร่างที่ดูดี

โดยทั่วไปการผ่าตัดยกกระชับหน้าอก ไม่ได้ส่งผลต่อหน้าที่การทำงานของหน้าอก อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่วางแผนในการตั้งครรภ์ในอนาคตควรปรึกษากับศัลยแพทย์ตกแต่ง เพราะการเปลี่ยนแปลงของหน้าอกที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อผลการรักษาของการผ่าตัดยกกระชับหน้าอก คนไข้ที่วางแผนจะลดน้ำหนักก็ควรปรึกษาด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลเหล่านี้คนไข้ที่เหมาะกับการผ่าตัดยกกระชับหน้าอก ควรจะเป็นผู้หญิงที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติและคงที่ หน้าอกมีการเจริญเต็มที่แล้ว การผ่าตัดยกกระชับหน้าอกก็สามารถทำได้ในผู้หญิงอายุน้อยเช่นกัน

 

การผ่าตัดไขมันหน้าท้องและแก้ไขกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน เป็นการผ่าตัดไขมันและผิวหนังส่วนเกินออก พร้อมกับเย็บซ่อมกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ยืดออกมาหลังการคลอดบุตร ตำแหน่งการเปิดแผลหน้าท้องจะอยู่แนวบิกินี้ไลน์ คนไข้ที่หน้าท้องหย่อนหลังการมีบุตร ซึ่งเวลายืนมองดูด้านข้างจะเห็นหน้าท้องป่องยืนออกมา ยิ่งผ่านการมีบุตรหลายคนหน้าท้องก็จะยิ่งป้องยืดออกมามาก  จึงมีการเย็บซ่อมกล้ามเนื้อที่หน้าท้องเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องกระชับ ทำให้มีรูปร่างและทรวดทรงดูดี สมส่วนยิ่งขึ้น การผ่าตัดไขมันหน้าท้องและเย็บซ้อมกล้ามเนื้อหน้าท้องต้องดมยาสลบ ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 3-4 ชั่วโมง และนอนโรงพยาบาล 3 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้ รอยแผลจะมีลักษณะเป็นเส้นยาวอยู่เหนือบริเวณหัวเหน่า และอาจจะยาวถึงสะโพกทั้ง 2 ข้าง ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและผิวหนังส่วนเกินที่ตัดออก

 

การผ่าตัดไขมันหน้าท้องมี 2 แบบคือ

 

1. การผ่าตัดแบบย้ายสะดือและเย็บซ่อมกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abdominoplaty) เหมาะสำหรับกรณีที่หน้าท้องหย่อนมีไขมันมาก และหน้าท้องแตกลายจาก การคลอดบุตร จำเป็นต้องผ่าตัดที่ โดยวิธีการดมยาสลบ
2. การผ่าตัดแบบไม่ย้ายสะดือ (Mini Abdominal Lipectomy) เหมาะสำหรับกรณีที่ไขมันมีไม่มาก แต่หน้าท้องลาย จุดประสงค์เพื่อต้องการแก้ไขหน้าท้องลายเท่านั้น สามารถผ่าตัดที่คลินิกได้ โดยการฉีดยาชา หลังผ่าตัดเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้

 

ขั้นตอนในการผ่าตัดไขมันหน้าท้องและเย็บซ่อมกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abdominoplaty)

1. ศัลยแพทย์จะทำการตรวจการหย่อนของกล้ามเนื้อหน้าท้องเพื่อวางแผนการผ่าตัด
2. กำหนดตำแหน่งแผลที่จะผ่าตัดบริเวณขอบบิกินี้ แล้วเปิดแผลผ่าตัดผ่านชั้นของผิวหนังและไขมันจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ 
3. เลาะผังพืดระหว่างชั้นของไขมันและกล้ามเนื้อ เปิดเลาะไปจนถึงใต้ราวนม จะเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนอย่างชัดเจน
4. เย็บซ่อมกล้ามเนื้อหน้าท้องตั้งแต่ใต้ราวนมจนถึงหัวเหน่า ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องตึงกระชับ 
5. ดึงชั้นผิวหนังและไขมันหน้าท้องลงมา ตัดส่วนเกินที่อยู่ตั้งแต่แนวบนสะดือเดิมถึงหัวเหน่าออก เย็บและตกแต่งแผลชั้นของไขมันบริเวณหัวเหน่าด้วยไหมละลาย และเจาะรู้สะดือใหม่แล้วเย็บตกแต่งสะดือให้ละเอียดและสวยงามเพื่อป้องกันแผลเป็นในตำแหน่งสะดือ 
6. ตัดและเย็บผิวหนังส่วนเกินให้สวยงามตามแนวแผลบริเวณหัวเหน่า 


 

ขั้นตอนในการผ่าตัดไขมันหน้าท้องแบบไม่ย้ายสะดือ (Mini Abdominal Lipectomy)

 

1. วางแผนการผ่าตัดไขมันและผิวหนังส่วนเกินหน้าท้องแล้วกำหนดตำแหน่งแผลผ่าตัด
2. เปิดแผลบริเวณหัวเหน่าเปิดเลาะผังพืดที่อยู่ระหว่างชั้นของกล้ามเนื้อและไขมัน เปิดเลาะขึ้นไปจนถึงใต้สะดือ
3. ดึงชั้นของผิวหนังและไขมันลงมาแล้วตัดส่วนเกินออก หลังจากนั้นเย็บและตกแต่งแผลให้สวยงาม

 

 

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

 

  1. งดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนมาผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยไม่ควรขับรถมาเองในวันผ่าตัด
  3. ก่อนผ่าตัดควรงดรับประทานยาดังต่อไปนี้ ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่พาราเซตามอล ยาสมุนไพร วิตามิน หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดบางชนิด ต้องหยุดรับประทานก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 14 วัน
  4. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ 2 อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด หลีกเลี่ยงการผ่าตัดช่วงที่มีประจำเดือน
  5. ไม่นำเครื่องประดับและของมีค่าทุกชนิดมาในวันผ่าตัด
  6. ในวันผ่าตัดควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆใส่สบาย เลือกเสื้อที่ติดกระดุมหน้า หรือรูดซิป ด้านหน้ากางเกงควรเลือกกางเกงที่สวมสบายไม่ฟิตมาก รองเท้าสวมรองเท้าที่สวมสบายไม่หุ้มข้อ
  7. ผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ควรหยุดสูบ 2  อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด
  8. ในวันผ่าตัดตอนเช้าควรอาบน้ำ สระผม ก่อนไปผ่าตัด 
  9. ในวันผ่าตัดผู้ป่วยต้องไม่ทาสีเล็บหรือต่อเล็บปลอมทุกชนิดที่นิ้วมือ
  10. ทางคลินิกไม่อนุญาติให้ญาติมานอนเฝ้าผู้ป่วย

 

การดูแลรักษาหลังผ่าตัด

 

1. หลังจากผ่าตัดแล้ว 2-3 วัน ควรใส่กางเกงรัดหน้าท้องแบบเต็มตัวเพื่อกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องตลอดเวลาทุกวันอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อลดอาการบวม หลังจากนั้นให้ใส่เฉพาะกลางคืนเพื่อพยุงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เย็บกระบชับให้แข็งแรง
2. เมื่อครบ 10-14 วัน ตัดไหม และตรวจเช็คแผลอีกครั้ง
3. สามารถออกกำลังกายได้หลังจากผ่าตัดไปแล้ว 2 เดือน
4. แผลจะยุบบวมและหายเป็นปกติประมาณ 3-4 เดือน

 

 

การหายของแผลผ่าตัด

 

ระยะเริ่มแรกจะมีอาการบวม และอาจรู้สึกอึดอัดไม่สบายปริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาจมีการจ่ายยาเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว ควรสวมใส่ชุดชั้นในที่ช่วยในการพยุงหน้าอกตลอดเวลาจนถึงสัปดาห์ที่สอง  การทำความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัดและการทาขี้ผึ้งตามคำแนะนำเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นมากที่คุณควรปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่างเคร่งครัด การทำกิจวัตรเบาๆ สามารถกระทำได้ใน 2-3 วันหลังการผ่าตัด 

 

การหายของแผลในช่วงแรกจะกินเวลาประมาณ 7 วัน   การหายของแผลจะดีขึ้นตามลำดับ  อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลง และควรจะมาปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ตกแต่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมเข้ามารับการติดตามผลการรักษาตามการนัดหมาย รวมถึงการควบคุมน้ำหนัก เพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่ควร

 

ข้อควรระวังหลังผ่าตัด

 

1. การดูแลแผลผ่าตัดต้องระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ ประมาณ 2-3 วัน หลังการผ่าตัด และทำความสะอาดแผลตามที่แพทย์แนะนำ
2. ต้องใส่ผ้ารัดหน้าท้องตลอดเวลาในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้นยังต้องใส่กระชับต่อป้องกันการฉีกขาดของกล้ามเนื้อที่เย็บกระชับหน้าท้อง และลดอาการบวม
3. การเขียวช้ำบริเวณผ่าตัดอาจเกิดขึ้นได้และจะหายไปภายใน 2-3 อาทิตย์ ถ้ามีอาการปวด บวม แดง ร่วมด้วยให้มาพบแพทย์ทันที